ข่าวปนคน คนปนข่าว

โฆษณา – อ่านบทความต่อด้านล่าง

**นี่มันบ้าบออะไรนักหนา! “สิระ” ราวีพัวพัน รพ.สนามพลังแผ่นดิน ของ“หมอเหรียญทอง”ไม่เลิก ไปถึงขั้นลากเขตหลักสี่ ออกคำสั่ง ประกาศห้ามใช้-ระงับการก่อสร้าง

เคย”เปิดวอร์” เป็นเรื่องเป็นราวกันมาแล้วครั้งหนึ่ง ระหว่าง “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.พลังประชารัฐ กับ”หมอเหรียญทอง” พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กรณีว่าด้วยการตั้งโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินของ “หมอเหรียญทอง” ที่ “สิระ “อ้างว่าชาวบ้านคัดค้านและ ลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมระบุว่า ไม่ได้เปิดฟรีเพื่อประชาชน และไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย หรือขออนุญาตใคร

ศึกสิระกับหมอเหรียญทอง เป็นไปอย่างดุเดือดแต่งานนั้นลงเอยด้วย “สิระ” ที่อีกฐานะหนึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร หน้าแหก โชว์โง่โดยที่ไม่รู้กฎหมาย เมื่อ”หมอเหรียญทอง” ยกราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข… ยกเว้นใบอนุญาตให้โรงพยาบาลสนามสำหรับโควิด-19 เป็นกรณีพิเศษ

โฆษณา – อ่านบทความต่อด้านล่าง

ว่ากันว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ “สิระ”ยังผูกใจเจ็บ แค้นไม่หาย พยายามจับผิดโรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินทุกเม็ด เรียกว่า ตามราวีพัวพันไม่เลิกรา

โฆษณา – อ่านบทความต่อด้านล่าง

จนล่าสุด เมื่อวานนี้ (3 มิย.) เฟซบุ๊ก“เหรียญทอง แน่นหนา”ได้โพสต์ภาพเจ้าหน้าที่เขตหลักสี่ 2 ราย นำป้ายมาติดประกาศ คำสั่งห้ามใช้หรือเข้าไปในอาคาร “รพ.สนามพลังแผ่นดิน” และระงับการก่อสร้างรพ.สนามพลังแผ่นดิน โดย”หมอเหรียญทอง”ได้ระบุข้อความว่า…

“มีหลายท่านถามผมว่า ร้านค้าผิดกฎหมายที่รุกประชิดตลอดแนวรั้ว รพ.สนามพลังแผ่นดิน ย้ายไปแล้วหรือยัง ???…คำตอบคือ ยังไม่ย้ายครับ มีแต่สำนักงานเขตหลักสี่ ออกคำสั่งห้ามใช้หรือเข้าไปในอาคาร รพ.สนามพลังแผ่นดิน และออกคำสั่งระงับการก่อสร้าง รพ.สนามพลังแผ่นดิน ตามภาพ

แต่ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ เพราะรพ.สนามพลังแผ่นดิน จะยังคงรับการส่งต่อผู้ป่วยอาการหนักจากรพ.สนาม ต่างๆตลอดจน รพ.รัฐ และเอกชน โดยผมยึดถือพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ ที่รัฐบาลประกาศซึ่งเป็นกฎหมายที่เหนือกว่าคำสั่งเขตท้องที่ครับ”

ว่าแล้ว “หมอเหรียญทอง” ก็ส่งลูกน้องแกะป้ายประกาศห้ามเข้าออกออกไป เพราะรพ.สนามพลังแผ่นดิน เปิดทำการไปได้หลายวันแล้ว มีการรับผู้ป่วยเข้ารพ.ทุกวัน วันละหลายสิบรายก็เข้าออกประตูนี้ โดยจะขอรับผิดชอบเอง… เป็นไงเป็นกัน!!

ส่วนร้านค้าผิดกฎหมายบนทางเท้าประชิดรั้ว รพ.สนาม มีข้อสงสัยกันว่าเขตหลักสี่ ทำไมยังคงเพิกเฉยปล่อยปละละเลยต่อไป แต่กับ รพ.สนามของหมอเหรียญทอง กลับขึงขัง ทำงานรวดเร็ว

เป็นไปได้ว่า เขตคงเกรงอกเกรงใจ”ทั่นประธานสิระ” ส.ส.เจ้าของพื้นที่หลักสี่-แจ้งวัฒนะ หรือไม่ อย่างไร

งานนี้คนเขาดูออก เขตหลักสี่-สิระ ทำอะไรกัน นี่มันจะบ้าบออะไรกันหนักหนา!!

** ฮือฮาน่าคิด!! “เรืองไกร” ย้ายค่าย จากขั้วแม้ว สู่อ้อมอกลุง เป็น กมธ.พิจารณา งบ 65 ในโควต้าพรรคพลังประชารัฐ

หลังการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ที่สมาชิกสภาฯเห็นชอบให้ผ่าน วาระรับหลักการไปแล้ว ก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 65 จำนวน 72 คน

ที่เป็นไฮไลต์ และเป็นเรื่องฮือฮา คอการเมืองพุดถึงกันมาก เมื่อปรากฏชื่อ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตส.ว. เป็นกมธ.พิจารณางบฯ ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ เพราะภาพที่สังคมจดจำก่อนหน้านี้ เขายืนอยู่ “ขั้วแม้ว” แต่วันนี้ย้ายมาซบอ้อมอกลุง จึงมีเรื่องให้คิด วิพากษ์วิจารณ์กัน !!

“เรืองไกร” เป็นนักบัญชี จบปริญญาตรีบริหารธุรกิจ(บัญชี) ม.รามคำแหง ปริญญาโทบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ และได้รับมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

เคยเป็นที่ปรึกษา”หญิงเป็ด” คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เป็น ส.ว. สรรหา และอีกบทบาทสำคัญคือ เป็น”นักร้อง” เคยยื่นเรื่องตรวจสอบนักการเมืองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในซีกเดียวกัน หรือขั้วตรงข้าม

ชื่อของ “เรืองไกร” เริ่มปรากฏในหน้าสื่อและเป็นที่รู้จัก เมื่อเขาฟ้องกรมสรรพากร ว่ากระทำการสองมาตรฐาน จากกรณีที่เขาซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ต่อจากบิดา ในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท แล้วถูกเรียกเก็บภาษี ต่างจากกรณีของตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ ที่ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป กลับไม่ต้องเสียภาษี …เรื่องนี้เรืองไกร ชนะคดี

ช่วงนั้นคนที่อยู่ทางฝ่าย”ทักษิณ”และพรรคไทยรักไทย มองว่า “เรืองไกร” อยู่ฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะมีความสนิทสนมกับ “หญิงเป็ด” คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯสตง.ในขณะนั้น ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทักษิณ

ปี 51 “เรืองไกร” ได้รับคัดเลือกให้เป็น ส.ว.แบบสรรหา และอยู่ใน “กลุ่ม 40 ส.ว.” ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้ยื่นฟ้องร้อง “สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรี จัดรายการโทรทัศน์ “ชิมไป บ่นไป” ทางช่อง 3 ว่าผิดรัฐธรรมนูญ จนในที่สุด”สมัคร” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และพรรคพลังประชาชน ถูกยุบ

แต่แล้วต่อมาช่วงปี 53 “เรืองไกร” ก็สร้างความแปลกใจให้กับผู้ที่ติดตามการเมือง เมื่อเขาไปขึ้นเวทีร่วมอภิปรายกับ “กลุ่มเสื้อแดงนปช.” บ่อยครั้ง แล้วที่สุดก็กลายเป็นคนของฝ่ายทักษิณไป… เมื่อพรรคเพื่อไทยได้ส่งเขาลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 57 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ต่อมาเลือกตั้งปี 62 “เรืองไกร” ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ ตามนโยบาย “แตกแบงก์พัน” ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่พรรคไทยรักษาชาติ ถูกยุบก่อนถึงวันเลือกตั้ง

หลัง คสช.ยึดอำนาจ “เรืองไกร” ก็ยื่นร้องเรียน ตรวจสอบรัฐบาล” 3ป.” มาโดยตลอด อย่าง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดนเรื่องพระเครื่อง ที่เคยนำมาแสดงเป็นร้อยองค์ กับบัญชีที่แสดงต่อ ป.ป.ช. แจ้งไว้ไม่ถึงร้อยองค์ ยังมีเรื่องแถลงนโยบายไม่ครบถ้วน … ส่วน”ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นี่โดนเรื่อง แหวนแม่ นาฬิกายืมเพื่อน ร่ำรวยผิดปกติ และเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม คุณธรรม …ขณะที่”ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เรื่อง ครอบครองจักรยานราคาแพง ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน หรือไม่ …ยังมีเรื่องเล้าไก่ “ปารีณา ไกรคุปต์” รุกที่ป่าสงวน จนต้องหลุดจากตำแหน่งส.ส.

ขนาดเรื่อง “ยุบพรรคพลังประชารัฐ” เรืองไกรก็ยังเคยร้องมาแล้ว จากกรณีกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เทียบเชิญ”ลุงป้อม”ให้มาเป็นหัวหน้าพรรค โดยใช้สถานที่ “มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด”

แล้วทำไมวันนี้ “เรืองไกร” จึงย้ายข้างมาซบอกลุง !!

ว่ากันว่า ด้วยความที่เป็นนักบัญชี มีความรู้ด้านกฎหมาย ช่างสังเกตุ ช่างจดช่างจำ บันทึกข้อมูล เก็บรายละเอียด มีคอนเนกชันกับนักการเมืองแทบทุกพรรค เมื่อมาช่วยงาน พรรคเพื่อไทย ก็เป็น กมธ.วิสามัญ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 และในปี 64 ก็ได้มีการพูดคุยกันไว้แล้ว ว่าจะได้เข้าไปเป็น กมธ.พิจารณางบฯ64 แต่ชื่อหลุดไปในนาทีสุดท้าย โดยมีชื่อของคนใกล้ชิด”ผู้ใหญ่” ในพรรคมาเสียบแทน …แน่นอนว่าความไม่พอใจย่อมพุ่งปรี๊ด!! หลังจากนั้น “เรืองไกร” ก็หันมาตรวจสอบคนของพรรคเพื่อไทยบ้าง อย่างกรณี “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรค ถูกตรวจสอบเรื่อง พระบูชา นาฬิกา สร้อยคอ ว่ามีมูลค่าเกินกฎหมายกำหนด ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ …”เสี่ยโจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรค โดนเรื่องนาฬิกาข้อมือ ไม่ปรากฎในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งไว้ต่อป.ป.ช. … ยังมียื่นสอบ 20 ส.ส.หญิง พรรคเพื่อไทย ที่ร่วมกันลงนาม “ทำจดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีศาลอาญา” ขอศาลเมตตาคืนสิทธิประกันตัว แนวร่วมกลุ่มราษฎร ซึ่ง “เรืองไกร” มองว่าอาจเข้าข่ายการใช้สถานะส.ส. ก้าวก่ายแทรกแซงข้าราชการ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ

“เรืองไกร”บอกว่า หลังจากไม่ได้เป็นกมธ.พิจารณางบฯ 64 ในโควตาพรรคเพื่อไทย ก็ได้มาเป็น อนุกมธ.ฯในโควตาพรรคเสรีรวมไทย พอร่วมประชุม ทางสำนักงบฯ ก็มาพูดคุย บอกไม่มีคนแม่นกฎหมาย และสรุปได้ดีเท่าตน เขาถามว่าทำไมเป็นกมธ.ฯ ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ก็พุดว่า ไม่ได้เป็นกมธ. ทำไมไม่บอก จะให้โควต้าของพรรคภูมิใจไทย พอปีนี้ จะมีการตั้ง กมธ.งบ65 คนของพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยทำงานด้วยกันในพรรคเพื่อไทย ก็มาชักชวน ให้มาช่วยดูการจัดทำงบฯ ก็เลยตอบตกลง

ขณะที่ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาลซึ่งว่ากันว่าเป็นผู้ชักชวนเรืองไกร ให้มาร่วมงานด้วย ก็บอกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย เพราะ”เรืองไกร” สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพปชร. มาเป็นเดือนแล้ว “ลุงป้อม” หัวหน้าพรรคก็รับทราบแล้ว …เราเป็นพรรคใหญ่ บางอย่างที่เราขาดไป ก็ต้องเสริมตรงส่วนนั้น ไม่เห็นจะน่าตกใจ คอยดูการเลือกตั้งในครั้งหน้าจะเซอร์ไพรส์กว่านี้

สิ่งที่”วิรัช” ไม่ได้บอก แต่หลายคนคงพอเข้าใจได้ว่า เมื่อเรืองไกร เป็นนักร้อง นักตรวจสอบ จะปล่อยให้เอาหอกคอยมาทิ่มแทงทำไม มิสู้ดึงมาเป็นพวกแล้วใช้หอกนี้ทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามดีกว่า… การย้ายค่าย เปลี่ยนขั้วสำหรับการเมืองไทย เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว จะยกเหตุผลใดขึ้นมาอ้างก็ได้… คำว่า”ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร” ยังใช้ได้เสมอ

“เรืองไกร” เมื่อย้ายมายืนข้างลุงแล้วจะได้รับการโปรโมต ปูนบำเหน็จแค่ไหน เพราะนี่ก็ใกล้เวลาประชุมใหญ่พรรคเพื่อปรับโครงสร้างใหม่กันแล้ว… เรื่องนี้ต้องติดตาม.

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO


ดูข่าวต้นฉบับ